ประวัติการใช้งาน ของ เอฟ-14 ทอมแคท

เอฟ-14 ทอมแคทเป็นเครื่องบินขับไล่และสอดแนมหลักของกองทัพเรือสหรัฐตั้งแต่ปี 2515-2549 เอฟ-14 ยังได้ทำหน้าที่ของมันในกองทัพอากาศอิหร่านตั้งแต่ปี 2521 จนถึงปัจจุบัน

กองทัพเรือสหรัฐ

เอฟ-14 เริ่มเข้ามาแทนที่เอฟ-4 แฟนทอม 2 ในกองทัพเรือสหรัฐโดยเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2517 บนเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรซ์และได้มีส่วนร่วมในการถอนกำลังออกจากไซง่อนของอเมริกา เอฟ-14 ได้ทำแต้มครั้งแรกในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2524 เหนืออ่าวซิดร้า หลังจากที่เอฟ-14 สองลำถูกเข้าปะทะโดยซู-22 ฟิตเตอร์สองลำของลิเบีย เอฟ-14 ได้หลบพ้นจากขีปนาวุธวิมเปล เค-13 และยิงตอบโต้ที่ส่งผลให้เครื่องบินของลิเบียทั้งสองลำตก เอฟ-14 ของสหรัฐได้เข้าปะทะกับเครื่องบินของลิเบียอีกครั้งในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2532 เมื่อมิก-23 ฟลอกเกอร์สองลำของลิเบียถูกยิงตกเหนืออ่าวซิดร้าอีกครั้ง

แม้ว่าทอมแคทจะได้รับความสนใจจากเหตุการณ์เหนืออ่าวซิดร้า แต่มันก็เป็นการรบในขณะที่ทำการลาดตระเวนเท่านั้น ทอมแคทได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ลาดตระเวนสอดแนมแทนอาร์เอ-5ซี วิจิลานเตและอาร์เอฟ-8จี ครูเซเดอร์ กระเปาะขนาดใหญ่ที่ถูกเรียกสั้นๆ ว่าทาร์ปส์ (Tactical Airborne Reconnaissance Pod System, TARPS) ถูกสร้างขึ้นและติดตั้งกับเครื่องทอมแคทในปีพ.ศ. 2524 เมื่ออาร์เอฟ-8จี ครูเซเดอร์ถูกปลดประจำการในปีพ.ศ. 2525 ทาร์ปส์ก็กลายมาเป็นระบบลาดตระเวนหลักของกองทัพเรือสหรัฐ[25] หนึ่งในสองของฝูงบินทอมแคทจะมีกระเปาะทาร์ปส์ติดอยู่และจะได้รับเครื่องบินที่สามารถติดตั้งทาร์ปส์ได้ 3 ลำ และมีลูกเรือที่ถูกฝึกมาเพื่อใช้มันอีก 4 นาย

ในขณะที่อิหร่านใช้ทอมแคทสำหรับการโจมตีอิรักในต้นทศวรรษที่ 2523 แต่สหรัฐกลับใช้มันทำภารกิจรบรายวันเหนือเลบานอนเพื่อถ่ายภาพกิจกรรมในหุบเขาเบกา ในตอนนั้นทอมแคทถูกมองว่ามีขนาดใหญ่และบอบบางเกินไปที่จะใช้บินบนบก แต่ความต้องการภาพถ่ายเหล่านั้นก็มากเสียจนลูกเรือทอมแคทได้ทำการพัฒนายุทธวิธีพิเศษเพื่อจัดการกับปืนต่อต้านอากาศยานและขีปนาวุธเอสเอ-7 ในบริเวณหุบเขา การเผชิญหน้ากับเอสเอ-2 ครั้งแรกเกิดขึ้นในโซมาเลียเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2526 เมื่อฐานปืนไม่ระวังต่อทอมแคทสองลำที่บินตามตารางบินเพื่อทำภารกิจทาร์ปส เอสเอ-2 ยิงใส่ทอมแคทลำที่สองในตอนที่มันบินเหนือขึ้นไป 1 หมื่นฟุต นักบินตรวจพบขีปนาวุธและทำการหลบหลีกได้สำเร็จ ความต้องการที่คาดไม่ถึงของการต่อสู่ขณะปฏิบัติภารกิจทาร์ปสนั้นนำไปสู่เซ็นเซอร์ความสูงสูงอย่างเคเอ-93 เพื่อให้มันทำงานร่วมกับเอไอเอ็ม-54 ฟีนิกซ์ เครื่องตรวจจับเรดาร์แบบ"ฟัซบัสเตอร์" (Fuzz buster) ก็ถูกนำมาใช้เช่นกันเพื่อเติมช่องว่างในการตรวจจับเรดาร์ของขีปนาวุธอย่างเอสเอ-6 การแก้ไขปัญหาสุดท้ายคือการพัฒนาเป็นเอแอลอาร์-67 แต่มันก็ยังไม่พร้อมถูกใช้จนกระทั่งมีเอฟ-14เอในปลายทศวรรษที่ 2523 ในปฏิบัติการอ่าวซิดร้าเมื่อปีพ.ศ. 2529 ทอมแคทถูกใช้ทำภารกิจเหนือผิวน้ำเพราะมันอันตรายเกินไปที่จะใช้เหนือพื้นดิน

การมีส่วนร่วมของเอฟ-14 ในสงครามอ่าวเมื่อปีพ.ศ. 2534 ประกอบด้วยการลาดตระเวนรบเหนือทะเลแดงและอ่าวเปอร์เซีย และภารกิจเหนือพื้นดินที่ทั้งคุ้มกันการโจมตีและการสอดแนม จนกระทั่งวันสุดท้ายของปฏิบัติการพายุทะเลทรายมาถึง การบินครองอากาศในประเทศก็ถูกทำโดยเอฟ-15 อีเกิลของกองทัพอากาศสหรัฐ กฎการเข้าปะทะยังเน้นถึงการระบุมิตรหรือศัตรูเมื่อต้องใช้ขีปนาวุธระยะไกลเกินสายตาอย่างเอไอเอ็ม-7 สแปร์โรว์และเอไอเอ็ม-54 ฟีนิกซ์ สิ่งนี้เป็นการขัดขวางทอมแคทจากการใช้อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดของมัน นอกจากนั้นสัญญาณที่ทรงพลังจากเรดาร์เอดับบลิวจี-9 ถูกตรวจจับได้ง่ายในระยะไกล กองทัพเรือสหรัฐได้รับความเสียหายโดยเสียเอฟ-14 ไปเพียงลำเดียวจากศัตรูเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2534 เมื่อเอฟ-14เอ+ หมายเลขบี/เอ็น 161430 ถูกยิงตกโดยขีปนาวุธพื้นสู่อากาศเอสเอ-2ขณะทำภารกิจคุ้มกันใกล้กับฐานบินอัล อซาดในอิรัก ลูกเรือทั้งสองนายดีดตัวออกมาทัน โดยนักบินได้รับการช่วยเหลือจากกองกำลังพิเศษและผู้ควบคุมเรดาร์ถูกจับเป็นเชลยโดยทหารฝ่ายอิรักในค่ายเชลยศึกจนจบสงคราม[26] เอฟ-14 ยังได้ทำแต้มสุดท้ายของมันโดยการยิงเฮลิคอปเตอร์มิล เอ็มไอ-8 ตกด้วยเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์

ในปีพ.ศ. 2538 เอฟ-14 ได้มีส่วนร่วมในปฏิบัติการเดบิเบอร์เรทฟอร์ซและปฏิบัติการอัลไลด์ฟอร์ซในปีพ.ศ. 2542 และในปีพ.ศ. 2541 กองบินสองกองบินที่ใช้เอฟ-14 ก็ได้เข้าร่วมในปฏิบัติการดีเซิร์ทฟอกซ์ ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 มีการติดตั้งขีปนาวุธเจแดมให้กับเอฟ-14 ในวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2544 เอฟ-14 ได้นำการรุกครั้งแรกในอัฟกานิสถานซึ่งเป็นการเริ่มปฏิบัติการเอ็นดัวริงฟรีดอมและได้ทิ้งระเบิดเจแดมเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2545 เอฟ-14ดีของกองบินที่เหลือได้รับการติดตั้งเจแดมในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2546[13] ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2548 เอฟ-14ดีจากสองกองบินได้รับการพัฒนาระบบดาวน์ลิงก์ โรเวอร์ 3 เพื่อใช้ในการส่งภาพให้กับผู้ควบคุมการบินส่วนหน้า[14] เอฟ-14 จากกองบินทั้งสองได้ทำการรบครั้งสุดท้ายบนเรือยูเอสเอส ธีโอดอร์ รูสเวลท์ในปีพ.ศ. 2548

สิ่งที่เข้ามาแทนที่

เอฟ-14 และเอฟ/เอ-18 กำลังเตรียมบินขึ้นจากเรือยูเอสเอส เอ็นเตอร์ไพรส์เมื่อปีพ.ศ. 2528

ในขณะที่เอฟ-14 ได้พัฒนาจนเป็นเอฟ-111บี ขนาด 36,000 กิโลกรัม เอฟ-14 ก็ยังคงเป็นเครื่องบินขับไล่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและแพงที่สุดในช่วงเวลาของมัน มีโครงการใหม่เข้ามาในทศวรรษที่ 2513 เพื่อทางออกราคาถูกสำหรับการทดแทนกองบินเอฟ-4 ของกองทัพเรือและกองทัพอากาศสหรัฐ โครงการดังกล่าวต้องการให้เกิดเครื่องบินขับไล่น้ำหนักเบารุ่นใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ท ซึ่งเป็นเครื่องบินโจมตีและเครื่องบินขับไล่ขนาดกลาง

ในปีพ.ศ. 2537 สภาคองเกรสได้ปฏิเสธข้อเสนอของกรัมแมนที่ต้องการจะพัฒนาทอมแคทของกองทัพเรือให้มากกว่ารุ่นดี (อย่างซูเปอร์ทอมแคท 21 รุ่นควิกสไตรค์ที่ถูกกว่า และรุ่นแอทแท็คทอมแคท 21 ที่ก้าวหน้าอย่างที่สุด)[27] แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกองทัพเรือกลับเลือกที่จะปลดประจำการเอฟ-14 และนำเอฟ/เอ-18อี/เอฟ ซูเปอร์ฮอร์เน็ทมาทำหน้าที่แทน

อิหร่าน

เอฟ-14เอ "ท็อปกัน" ของสหรัฐที่ทาสีตามแบบเครื่องบินขับไล่ของอิหร่าน

ผู้ใช้ทอมแคทนอกจากสหรัฐเพียงรายเดียวคือกองทัพอากาศจักรวรรดิอิหร่าน

ในต้นทศวรรษที่ 2513 กองทัพอากาศจักรวรรดิอิหร่านได้มองหาเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ที่ก้าวหน้า โดยเฉพาะลำที่สามารถเข้าสกัดกั้นมิก-25 "ฟ็อกซ์แบท"ของโซเวียตได้ หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐริชาร์ด นิกสันได้ไปเยือนอิหร่านในปีพ.ศ. 2515 ซึ่งได้ยื่นเทคโนโลยีทางทหารใหม่ล่าสุดของอเมริกันให้กับอิหร่าน กองทัพอากาศจักรวรรดิอิหร่านมีสองทางเลือกคือเอฟ-14 ทอมแคทหรือเอฟ-15 อีเกิล บริษัทกรัมแมนได้จัดการสาธิตระหว่างทอมแคทกับอีเกิลต่อหน้ากษัตริย์ซาห์ของอิหร่านในตอนนั้น และในเดือนมกราคม พ.ศ. 2517 อิหร่านก็ได้สั่งซื้อเอฟ-14 30 ลำพร้อมขีปนาวุธเอไอเอ็ม-54 ฟีนิกซ์ 424 ลูก โดยมีมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่กี่เดือนต่อมารายการดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นกลายเป็นเครื่องบิน 80 ลำและขีปนาวุธ 714 ลำเพื่อเป็นอะไหล่ให้กองทัพไปอีก 10 ปี

เอฟ-14 ลำแรกมาถึงในเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 มันถูกดัดแปลงด้วยการนำระบบอิเลคทรอนิกอากาศเท่านั้น แต่ก็ยังคงใช้เครื่องยนต์เดิม ปีต่อมาอีก 12 ลำก็มาถึง ในขณะนั้นเองการฝึกลูกเรืออิหร่านก็เริ่มขึ้นโดยกองทัพเรือสหรัฐโดยทำการฝึกในสหรัฐเอง และในการฝึกครั้งนี้มีการใช้ขีปนาวุธฟีนิกซ์ยิงใส่เป้าหมายที่เป็นโดรนในความสูง 5 หมื่นฟุต

หลังจากการโค่นล้มอำนาจกษัตริย์ซาห์ในปีพ.ศ. 2522 กองทัพอากาศก็มีชื่อใหม่ว่ากองทัพอากาศสาธารณัฐอิสลามอิหร่านและรัฐบาลใหม่ก็ทำการยกเลิกรายการสั่งซื้ออาวุธส่วนมากจากฝั่งตะวันตก มีข้อมูลถึงการใช้เอฟ-14 ของอิหร่านน้อยมาก

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2550 มีการประกาศโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐว่าการขายชิ้นส่วนเอฟ-14 ถูกยกเลิก เพราะว่ากลัวว่าพวกมันจะตกไปอยู่ในมือของอิหร่าน การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นตามสถานการณ์ในขณะนั้นของอิหร่าน[28] ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เอฟ-14 ของอเมริกาที่ยังเหลืออยู่ถูกแยกชิ้นส่วนเพื่อทำให้แน่ใจว่าชิ้นส่วนของพวกมันจะไม่ถูกซื้อไปโดยรัฐบาลที่เป็นศัตรูของสหรัฐ[29] อิหร่านนั้นมีเอฟ-14 ประมาณ 44 ลำ[30] โดยมี 20 ที่ยังปฏิบัติการอยู่เมื่อถึงปีพ.ศ. 2552[31]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เอฟ-14 ทอมแคท http://deseretnews.com/dn/view/0,1249,680195918,00... http://www.f-14association.com/stories-01.htm http://www.findarticles.com/p/articles/mi_qa3834/i... http://www.foxnews.com/story/0,2933,215219,00.html http://www.tomcatsforever.com http://oea.larc.nasa.gov/PAIS/Partners/F_14.html http://www.movic.co.jp/book/cgi-bin/search/listgen... http://www.defenselink.mil/transcripts/transcript.... http://www.history.navy.mil/planes/f14.htm http://www.news.navy.mil/search/display.asp?story_...